หน้าหนังสือทั้งหมด

เมตตาและตัณหาเปมะในธรรมะ
39
เมตตาและตัณหาเปมะในธรรมะ
1. เมตตาอโทสะ คือ เมตตาแท้เป็นความปรารถนาดีต่อสัตว์ทั้งหลายอย่างแท้จริงโดย ไม่ยึดถือว่าผู้ที่เราแผ่ความปรารถนาดีรักใคร่นั้นมีความสัมพันธ์อย่างไรกับเรา เช่น เป็นบิดา มารดา บุตร ธิดา ภรรยา สามี ภรรยา ญา
บทความนี้กล่าวถึงความแตกต่างระหว่างเมตตาอโทสะ ซึ่งเป็นความปรารถนาดีต่อตนเองและผู้อื่นอย่างแท้จริง และตัณหาเปมะ ซึ่งเป็นเมตตาแบบมีความยึดติดที่เกิดจากความรักใคร่ โดยเสนอขั้นตอนการเจริญเมตตาผ่านการฝึกฝน
พญากระบี พระโพธิสัตว์
53
พญากระบี พระโพธิสัตว์
ได้ส่งข้าพเจ้ามาเพื่อต้องการงาของท่าน” พระโพธิสัตว์เมื่อจะทำความประสงค์ของพระราชเทวีให้ สำเร็จบริบูรณ์ จึงได้ให้ตัดงาทั้งสองของตนซึ่งมีความงามดุจทองคำธรรมชาติ สุกปลั่งด้วยแสง แห่งรัศมีอันประกอบด้วยสี
เรื่องราวของพระโพธิสัตว์ในอดีตเมื่อเสวยพระชาติเป็นพญาวานร ได้ช่วยชายคนหนึ่งให้รอดชีวิตจากการตกเหว แต่ชายผู้นั้นกลับคิดจะทำร้ายพระโพธิสัตว์เพื่อต้องการอาหารถึงขั้นยกหินเล่นงานพระโพธิสัตว์ที่ถูกทำร้าย ท
การลดความโกรธด้วยเมตตา
56
การลดความโกรธด้วยเมตตา
มารดากัน ไม่เคยเป็นบิดากัน ไม่เคยเป็นพี่ชายน้องชายกัน ไม่เคยเป็น พี่หญิงน้องหญิงกันไม่เคยเป็นบุตรกันไม่เคยเป็นธิดาโดยกาลนานนี้ มิใช่ หาได้ง่ายเลย เพราะฉะนั้น ผู้เจริญเมตตาให้ส่งจิตไปในคนคู่ที่เป็นศัตร
บทความนี้เสนอวิธีการลดความโกรธโดยการพิจารณาความสัมพันธ์ในอดีตว่า ผู้ที่เราโกรธอาจเคยเป็นบุคคลสำคัญในชีวิตเรา เช่น มารดา บิดา หรือพี่น้อง และการอบรมเมตตาสามารถนำไปสู่การหลุดพ้นใจได้ ซึ่งพระผู้มีพระภาคเ
การบรรลุสีมสัมเภทและเมตตากัมมัฏฐาน
60
การบรรลุสีมสัมเภทและเมตตากัมมัฏฐาน
ปรากฏก็เท่ากับว่าได้อุปจารสมาธิ ส่วนในเมตตากัมมัฏฐานไม่มีปฏิภาคนิมิตปรากฏให้เห็น แต่ว่าในระดับของสีมสัมเภทที่บรรลุถึง นิวรณ์ 5 ประการ ได้ถูกข่มไว้ได้กิเลสทั้งหลายที่อยู่ใน ฐานะเดียวกับนิวรณ์ก็สงบลงหมด
การบรรลุสีมสัมเภทในเมตตากัมมัฏฐานมีความสำคัญในการฝึกจิตให้มีความเสมอภาค โดยไม่มีการแยกแยะบุคคล การดำเนินการบนหนทางนี้ต้องทำลายขอบเขตของจิต ที่ทำให้มองเห็นความแตกต่างในการรักและเกลียด ซึ่งหากจิตมีความป
การเจริญกรุณาในจิตวิทยา
68
การเจริญกรุณาในจิตวิทยา
จิตของสัปปบุรุษย่อมเกิดความหวั่นไหว นิ่งดูอยู่ไม่ได้ ย่อมพยายามช่วยผู้ที่ได้รับความลำบาก ให้ได้รับความสุข การเจริญกรุณา คือ การแผ่ความปรารถนาให้สัตว์ทั้งหลายที่กำลังได้รับทุกข์หรือจะได้รับ ความทุกข์ใน
การเจริญกรุณาคือการแผ่ความปรารถนาให้สัตว์ที่ได้รับความทุกข์ พัฒนาจิตเพื่อปล่อยความเศร้าโศก โดยมีกรุณาแท้และกรุณาเทียม การฝึกควรเริ่มจากการเข้าใจโทษของความเบียดเบียนและอานิสงส์ของกรุณา จากนั้นทำการแผ่ก
มุทิตา: การเจริญมุทิตาแท้และเทียม
77
มุทิตา: การเจริญมุทิตาแท้และเทียม
มุทิตา เมื่อว่าโดยสามัญแล้วมี 2 อย่าง คือ 1. มุทิตาแท้ คือ แม้จะมีความรื่นเริงบันเทิงใจต่อสัตว์ที่มีสุขอยู่ หรือจะได้รับสุขต่อไป ข้างหน้าก็ดี จิตใจก็มิได้มีการยึดถือหรืออยากโอ้อวดต่อผู้อื่นแต่อย่างใดม
มุทิตาแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ มุทิตาแท้ ซึ่งปราศจากความยึดถือและแสดงความเบิกบานใจอย่างบริสุทธิ์ และมุทิตาเทียม ที่มีการยึดถือเกี่ยวโยงกับผลประโยชน์ส่วนบุคคล การเจริญมุทิตาภาวนาเน้นการใช้มุทิตาแท้เพื่
การเจริญอุเบกขาและอานิสงส์ของพรหมวิหาร
90
การเจริญอุเบกขาและอานิสงส์ของพรหมวิหาร
4. เหตุใกล้ : 5. ความสมบูรณ์ : มีปัญญาพิจารณาเห็นกรรมเป็นของของตน สัตว์ ทั้งหลายเป็นไปตามกรรมของตนเอง ไม่ใช่มีผู้ใด ผู้หนึ่งกระทำให้ เป็นเหตุใกล้ การสงบจากความเกลียดและไม่มีความรักเป็น ความสมบูรณ์ของอ
บทความนี้กล่าวถึงพัฒนาอุเบกขาเพื่อเข้าถึงพระธรรมกาย การพิจารณากรรม การสงบจากความเกลียด และการเข้าถึงกายรูปพรหม ซึ่งทำให้เกิดอานิสงส์มากมาย เช่น การนอนที่มีความสุข ปัญญาที่จะถือกรรมเป็นของตน ซึ่งช่วยให
อานิสงส์ของการเจริญพรหมวิหาร
94
อานิสงส์ของการเจริญพรหมวิหาร
อานิสงส์ทั้งหลายมีหลับเป็นสุขเป็นต้นในพรหมภาวนานี้ แม้ผู้เจริญภาวนาทั้งหลาย ผู้ได้สำเร็จฌานสมาบัติด้วยอำนาจกัมมัฏฐานอื่นนอกเหนือจากพรหมวิหารนี้ ก็ย่อมได้รับ เช่นเดียวกัน ดังคาถาประพันธ์ที่พระโบราณาจาร
บทความนี้อภิปรายเกี่ยวกับอานิสงส์หลากหลายที่เกิดจากการเจริญพรหมวิหาร โดยเฉพาะอานิสงส์ทั้ง 11 ประการซึ่งส่งผลให้ผู้ปฏิบัติรู้สึกสงบสุขและมีความรักต่อผู้อื่น การเจริญพรหมวิหารมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตป
แนวคิดและวัตถุประสงค์ของอรูปกัมมัฏฐาน
98
แนวคิดและวัตถุประสงค์ของอรูปกัมมัฏฐาน
แนวคิด บทที่ 3 แนวคิด และ วัตถุประสงค์ 1. อรูปกัมมัฏฐานเป็นวิธีการเจริญสมาธิที่มีการฝึกกันทั้งในพระพุทธศาสนาและ นอกพระพุทธศาสนา โดยอรูปกัมมัฏฐานในพระพุทธศาสนาจะเป็นขั้นตอนที่จะนำไปสู่ขั้น วิปัสสนาและเ
บทนี้นำเสนอแนวคิดและวัตถุประสงค์ของอรูปกัมมัฏฐาน เป็นการเจริญสมาธิในการฝึกฝนที่มีความสำคัญในพระพุทธศาสนา โดยมุ่งหวังให้ผู้ฝึกสามารถบรรลุถึงอรูปฌาน 4 และวิญญานัญจายตนฌาน โดยมีรายละเอียดเกี่ยวกับวัตถุปร
วิธีการเจริญอรูปกัมมัฏฐาน
102
วิธีการเจริญอรูปกัมมัฏฐาน
3.3 วิธีการเจริญอรูปกัมมัฏฐาน ผู้ปฏิบัติเมื่อเห็นโทษในรูปว่ารูปนี้ถูกโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาท จับศัสตราอยู่แย่งชิงกันอยู่ จึงเกิดความเบื่อหน่าย บำเพ็ญฌานด้วยอำนาจกสิณทั้ง 9 (เว้
ผู้ปฏิบัติต้องมีความเข้าใจในโทษของรูปและออกจากกสิณเพื่อเข้าถึงอากาสานัญจายตนฌาน โดยทำการเพิกกสิณทั้ง 9 เพื่อเข้าใจในอากาศที่ไม่สิ้นสุด ซึ่งไม่มีจุดเริ่มต้นหรือจุดสิ้นสุด มิลินทปัญหาได้อธิบายถึงคุณของอ
วิญญาณัญจายตนฌานและอากิญจัญญายตนฌาน
104
วิญญาณัญจายตนฌานและอากิญจัญญายตนฌาน
3.3.2 วิญญาณัญจายตนฌาน อากาสานัญจายตนฌานลาภีบุคคล ผู้มีวสีภาวะทั้ง 5 ในอากาสานัญจายตนฌาน จึงจะสามารถเจริญสมถภาวนาเพื่อให้ถึงวิญญาณัญจายตนฌานได้ คล่องแคล่วเป็นอย่างดีแล้ว ในการเจริญให้ถึง วิญญาณัญจายตน
วิญญาณัญจายตนฌานเป็นขั้นสูงในการเจริญสมถภาวนา โดยบุคคลที่มีวสีภาวะทั้ง 5 จะสามารถพัฒนาไปสู่สถานะนี้ได้ หลังจากนั้น การเจริญอากิญจัญญายตนฌานจะต้องอาศัยวิญญาณัญจายตนฌานเพื่อนำไปสู่ความชำนาญในอารมณ์ที่ไม
อาหาเรปฏิกูลสัญญา
115
อาหาเรปฏิกูลสัญญา
บทที่ 4 อาหาเรปฏิกูลสัญญา การเจริญอาหาเรปฏิกูลสัญญา เป็นการเจริญสมถกัมมัฏฐานอีกรูปแบบหนึ่ง ที่มี ความใกล้ชิดกับผู้ปฏิบัติสามารถใช้เป็นแนวทางปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้ง่ายเนื่องจากอารมณ์ที่ ใช้พิจารณาเก
บทที่ 4 ศึกษาอาหาเรปฏิกูลสัญญาซึ่งเป็นกัมมัฏฐานที่ช่วยลดความยึดติดต่ออาหาร พระพุทธองค์ได้ชี้ให้เห็นว่าการบริโภคส่งผลกระทบต่อชีวิตและการปฏิบัติอย่างไร บทนี้กล่าวถึงการทำความเข้าใจในกัมมัฏฐานที่เกี่ยวกั
อาหาเรปฏิกูลสัญญาและการพัฒนาจิต
117
อาหาเรปฏิกูลสัญญาและการพัฒนาจิต
อาหาเรปฏิกูลสัญญาคือ การพิจารณาความเป็นปฏิกูลในอาหาร กำหนดหมายว่า อาหารที่บริโภคเป็นสิ่งปฏิกูล ซึ่งอาหารที่พิจารณาก็คือ กวฬิงการาหาร คือ อาหารที่ใช้บริโภค ใช้ดื่ม เคี้ยว ลิ้ม เนื่องจากอาหารทั้ง 4 ล้วน
อาหาเรปฏิกูลสัญญาคือการพิจารณาโทษภัยของอาหารที่ได้รับ ซึ่งอาหารถือเป็นสิ่งปฏิกูลที่มีโทษหลายประการ หากไม่มีการพิจารณา อาจนำไปสู่ทุกข์ต่างๆ การเจริญอาหาเรปฏิกูลสัญญาช่วยให้หลุดพ้นจากความยึดติดและมุ่งสู
การพิจารณาธาตุทั้ง 4 ในร่างกาย
129
การพิจารณาธาตุทั้ง 4 ในร่างกาย
ธาตุทั้ง 4 นี้ เป็นส่วนที่ประกอบขึ้นเป็นร่างกาย การที่เรียกว่า หญิง ชาย เรา เขา สัตว์ บุคคล มนุษย์ เทวดา พรหม นั้น หาใช่อื่นไม่ แท้จริงก็ได้แก่ธาตุ 4 ที่รวมกันเป็นกลุ่ม เป็นกองปรากฏขึ้นเป็นรูปร่างสัณฐ
ธาตุทั้ง 4 ประกอบขึ้นเป็นร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นหญิง ชาย สัตว์ หรือบุคคล เมื่อพิจารณาถึงธาตุดังกล่าว เราจะเห็นว่าเป็นเพียงรูปแบบที่เกิดจากกรรม การพิจารณาโดยย่อและพิสดารเป็นหนทางในการเข้าใจ โดยอุปมาคล้ายก
อานิสงส์ของการเจริญจตุธาตุววัตถาน
148
อานิสงส์ของการเจริญจตุธาตุววัตถาน
ดังนั้นให้เพียงวางใจนิ่ง ๆ ต่อไปที่ศูนย์กลางกาย จนใจรวมหยุดนิ่งถูกส่วนตกศูนย์ เข้าถึง ดวงปฐมมรรค จากนั้นจึงดำเนินใจเข้ากลางของกลาง ผ่านเข้าไปตามลำดับจนเข้าถึง พระธรรมกาย จึงใช้ญาณของพระธรรมกายพิจารณาม
การเจริญจตุธาตุววัตถานมีอานิสงส์ 8 ประการ เช่น สุญญติ อวคาห และสตฺตสญฺญ์ ที่ช่วยให้ละความเห็นว่าเป็นสัตว์ การมีจิตใจที่มั่นคง ลดความหวาดกลัวต่างๆ ได้ อิฏฐานิฏเฐสุ อุคฆาฏนิคฆาฏิ ที่ทำให้มีปัญญากว้างขวา
ลักษณะของใจตามพระมงคลเทพมุนี
16
ลักษณะของใจตามพระมงคลเทพมุนี
1.1.1 ลักษณะของใจ พระมงคลเทพมุนี อธิบายลักษณะของใจไว้ว่า “อะไรที่เรียกว่าใจ เห็นอย่างหนึ่ง จำอย่างหนึ่ง คิดอย่างหนึ่ง รู้อย่างหนึ่ง 4 อย่างนี้รวมเข้าเป็นจุดเดียวกัน นั่นแหละเรียกว่า ใจ อยู่ที่ไหน อยู่
ในเรื่องการอธิบายลักษณะของใจ พระมงคลเทพมุนีได้แบ่งปันมุมมองที่น่าสนใจ ซึ่งประกอบไปด้วย 4 ประการ คือ ความเห็น ความจำ ความคิด และความรู้ โดยท่านชี้แจงว่าความเห็นอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 ความจำอยู่ที่
ความหมายของตัวตนในระดับปรมัตถสัจจะ
25
ความหมายของตัวตนในระดับปรมัตถสัจจะ
2. ตามความจริงในระดับปรมัตถสัจจะ ซึ่งสามารถตอบได้เป็น 2 ระดับ คือ ระดับที่หนึ่ง ยังตอบในฐานะ “มีตัวเรา” ระดับที่สอง สอง ในฐานะ “ไม่มีแม้แต่ตัวเรา” ระดับที่หนึ่ง เมื่อยังคิดยึดถือว่ามีตัวเรา ในระดับนี้
บทความนี้สำรวจความหมายของตัวตนในระดับปรมัตถสัจจะ ที่แสดงถึงการตอบสนองในสองระดับ คือตัวตนที่มีซึ่งหมายถึงการเกิดและตายที่ไม่มีที่สิ้นสุด โดยขึ้นอยู่กับกรรมที่สะสม และระดับที่ไม่มีตัวตนที่ชี้ให้เห็นว่าต
อวิชชาและอุปสรรคทางจิต
35
อวิชชาและอุปสรรคทางจิต
5. วิจิกิจฉานิวรณ์ ขัดขวางไว้เพราะความลังเลสงสัย 6. อวิชชานิวรณ์ ขัดขวางไว้เพราะความไม่รู้ 7) อนุสัย คือ กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในขันธสันดานของสัตว์ทั้งหลาย มี 7 อย่าง คือ 1. กามราคานุสัย สันดานที่ชอบใจ
บทความนี้วิเคราะห์ถึงอวิชชาและอุปสรรคทางจิตที่มีผลต่อการเกิดทุกข์ในสัตว์ ทั้งนี้รวมถึงการจำแนกอนุสัยที่นำไปสู่อารมณ์ต่างๆ และการผูกพันของสังโยชน์ที่จะทำให้สัตว์ไม่หลุดพ้นจากวัฏทุกข์ อวิชชาเป็นอุปสรรคส
จําแนกตามในพระอภิธรรม
36
จําแนกตามในพระอภิธรรม
จําแนกตามในพระอภิธรรม คือ 1. กามราคสังโยชน์ ธรรมชาติที่ผูกสัตว์ไว้โดยอาการที่ติดอยู่ในกามคุณอารมณ์ 2. ภวราคสังโยชน์ ธรรมชาติที่ผูกสัตว์ไว้โดยอาการที่ติดอยู่ในรูปภพ อรูปภพ หรือ รูปฌาน อรูปฌาน 3. ปฏิฆสั
เนื้อหานี้พูดถึงการจําแนกตามในพระอภิธรรมมี 10 ประการ ได้แก่ กามราคสังโยชน์, ภวราคสังโยชน์, ปฏิฆสังโยชน์, มานสังโยชน์, ทิฏฐิสังโยชน์, สีลัพพตปรามาสสังโยชน์, วิจิกิจฉาสังโยชน์, อิสสาสังโยชน์, มัจฉริยสัง
การรู้และเข้าใจในกิเลสภายใน
49
การรู้และเข้าใจในกิเลสภายใน
เราจะรู้ได้ว่า กิเลสที่เป็นความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นอย่างไร ถ้าเรามองด้วย ธรรมจักขุของธรรมกายแล้ว เราจะรู้ได้ว่าดวงดำๆ นี้เป็นกิเลสโดยการรู้รสของกิเลสนั้น ๆ ยกตัวอย่างเช่นเราดื่มน้ำโอเลี้ยงกับทานน
บทความนี้สำรวจเกี่ยวกับการรู้จักกิเลส 3 ประการ ได้แก่ ความโลภ ความโกรธ และความหลง ผ่านการมองด้วยธรรมจักขุของธรรมกาย เมื่อเราเข้าใจถึงรสชาติของธรรมและกิเลสในใจของเราอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกิเลสต่างๆ ท